แรกๆ ผมค่อนข้างบ้าพลัง กราฟหุ้นของผมในช่วงต้น จึงเต็มไปด้วยเส้นและ Indicators ต่างๆ เต็มไปหมด หน้าตาของกราฟก็จะเป็นอย่างรูปข้างล่างนี้ (มานั่งนึกดู สงสัยตอนนั้นโดนธาตุไฟเข้าแทรกแน่ๆ เลย)
ตอนที่วาดกราฟก็สนุกดีอยู่หรอกครับ มั่นใจเต็มที่ว่าเครื่องมือพร้อมขนาดนี้ ไม่นานก็รวยแน่ๆ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องตัดสินใจซื้อ/ขายขึ้นมาจริงๆ ก็เกิดอาการสับสนว่าเราจะเชื่อ Indicator ตัวไหนดี เพราะบางทีดู EMA มันก็บอกให้ซื้อ แต่ MACD ยังต่ำกว่า 0 อยู่เลย แถมช่องก็เล็กแสนเล็ก จะดูแต่ละทีก็เพ่งกันจนตาแทบจะหลุด จึงทำให้ซื้อ/ขายด้วยความไม่มั่นใจอยู่บ่อยๆ ยังไม่พอ หลังจากซื้อแล้ว Stochastic ดันเข้า Overbought ก็ส่งสัญญาณให้ขายมาซะอีก ช่วงนั้นเลย Stop loss บ่อย และมันก็บ่อยซะจนบักโกรกไปหมด >.<!
พอขาดทุนมากๆ เข้าก็จึงคิดว่าไม่ได้การแล้ว ขืนทำอย่างนี้ต่อไปมีหวังเจ๊งหมดตัวแน่ๆ ผมก็เลยกลับไปทบทวนตัวเองใหม่ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม แล้วก็ค้นพบว่า Indicator แต่ละชนิด มันก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป อย่างเช่น EMA ช่วยบอกแนวโน้ม MACD ช่วยบอก Momentum ของหุ้น (ยิ่งหุ้นขึ้นแรงลงแรง MACD ก็ยิ่งมาก) ดังนี้เป็นต้น นอกจากนี้ Indicator แต่ละตัวก็จะมีความแม่นแตกต่างกันไป เช่น ถ้าซื้อตามสัญญาณจาก MACD ตัด 0 จะมีโอกาสถูก (ซื้อแล้วมันขึ้น) 40% ส่วน EMA สองเส้นตัดกัน มีโอกาสถูก 50% (สมมุตินะครับสมมุติ) ตอนนั้นผมก็เลยคิดว่า ถ้าใช้ทั้ง MACD ร่วมกับ EMA ในการบอกสัญญาณซื้อ/ขาย ต้องมีโอกาสถูกแน่ๆ 90% (40+50=90) ฮ่าๆๆ สุดยอดไปเลยใช่ไหมครับ
แต่ว่าความคิดแบบนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ เพราะตามหลักสถิติแล้ว การนำเครื่องมือต่างชนิดกันมาใช้ร่วมกัน การคำนวณโอกาสที่ถูก จะต้องนำอัตราความแม่นของเครื่องมือมาคูณกัน (ห้ามเอามาบวกกันนะ) ดังนั้นโอกาสที่เราซื้อหุ้นโดยรอสัญญาณซื้อจาก MACD และ EMA พร้อมๆ กันจึงมีแค่ 20% (40% x 50%) เท่านั้นเอง (ตัวเลขสมมุตินะครับ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่ง) ซึ่งก็สอดคล้องกับความเป็นจริงก็คือ โอกาสที่ MACD ตัด 0 พร้อมๆ กับที่เกิด EMA สองเส้นตัดกัน จะมีน้อยมาก ยิ่งเราเพิ่ม Indicator เข้าไปมากเท่าไหร่ โอกาสที่ระบบของเราจะให้สัญญาณซื้อ/ขาย ก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ผมก็เลยปรับใหม่ ลอง Focus ที่ระบบง่ายๆ ที่เราเข้าใจข้อดีข้อเสียของมัน แล้วทำการปรับแต่งกราฟใหม่ ใช้ Expert Adviser ของโปรแกรม MetaStock มาช่วย และทดสอบระบบด้วยการ Back Test โดยใช้ Enhanced System Tester และลองทดสอบแบบ Manual เองดูด้วย ก็พบว่า ยิ่งผมมีความเข้าใจในระบบการเทรดและปรับให้กราฟดูง่ายมากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็จะมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ/ขายมากขึ้นเท่านั้น
ลองเปรียบเทียบกราฟด้านล่าง เทียบกับกราฟด้านบนดูนะครับ
จากกราฟนี้ จะเห็นได้ว่า "มันโล่ง" การตัดสินใจซื้อ/ขายก็แสนจะง่าย คือดูแค่สีของแท่งเทียนที่ได้รับการปรับค่าตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โดยเส้นประสีขาวจะเป็นตัวแบ่งระหว่างแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง (Do not trade against trend) แท่งเทียนสีเขียวหมายถึงซื้อ พอเจอแท่งสีแดงก็ให้ขาย แล้วเราก็ลากเส้น Trend Line ทำเป็น Channel ไว้ประกอบการตัดสินใจ โดยเท่าที่ทดสอบมา บางช่วงที่เป็น Side Way ก็จะมีผลขาดทุนบ้างแต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรของระบบแล้ว ระบบนี้ก็ถือว่า สามารถให้กำไรสะสมได้อย่างพอเพียงในระยะยาวเลยทีเดียว และเราก็ไม่ต้องมานั่งเพ่งหาสัญญาณซื้อ/ขายจากหลายๆ Indicators อีกแล้ว
ทุกวันนี้ ชีวิตการลงทุนของผม มีความสุขขึ้นเยอะเลยครับ เย่ๆ ^^!
ขอสติจงอยู่กับนักลงทุนทุกท่านเสมอครับ
This comment has been removed by a blog administrator.
ReplyDeleteThis comment has been removed by the author.
DeleteThis comment has been removed by the author.
Deletecool
ReplyDeleteThis is really nice to read content of this blog. A is very extensive and vast knowledgeable platform has been given by this blog. I really appreciate this blog to has such kind of educational knowledge.
ReplyDeleteExhausting Gap คือ